Fic naruto ภาค พายุโลหิต

10.0

เขียนโดย นิกซ์

วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 15.23 น.

  33 ตอน
  12 วิจารณ์
  53.16K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 16.43 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

16) บทที่ 16 อดีตเมื่อวันวาน และฝันที่ลืมเลือน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บ้านชิอินะทางเหนือก็กำลังจัดปาร์ตีซีฟู้ด สองแฝดก็มานั่งขนาบข้างคิซาชิ

“คุณพ่อ หนูมีเรื่องอยากจะถามหน่อย”

“อะไรเหรอ นังหนู”

“คุณพ่อกับคุณแม่รักกันได้ยังไงอ่ะ”งานนี้ทำเอาคนแทบทั้งบ้านหูผึ่ง สำหรับหนุ่มๆนั่นอาจจะเป็นวิธีจีบลูกสาวของคนเล่าก็ได้

“นั่นสิครับ ผมจำได้ว่าพ่อบอกว่าคุณอาใจแข็งมาก ลุงจีบอายังไงอ่ะ”จะขอเอาไปเป็นแนวทาง

ชายผิวเข้มผมชมพูดื่มเหล้าเข้าไปอึกใหญ่ สาวใช้ก็มารินเหล้าให้อย่างรู้งาน โดยสายตอของเมบุกิจ้องเขม็ง

พอเหล้ารินเรียบร้อย ก็ดื่มอีกอึกใหญ่ “ตอนนั้น ชั้นเจอกับเมบุกิครั้งแรก...ตอนที่ครอบครัวฮารุโนะย้ายมา ตอนนั้นคนขนของไม่ทันระวัง ทำให้ของที่บรรทุกมาจะร่วงลงใส่เมบุกิ คุณหนูคนสวยเข้า...”

คนที่ถูกชมหน้าแดงเล็กน้อย

“ตอนนั้นชั้น เข้าไปช่วยโดยเอาตัวเข้าไปกันไว้ นั่นทำให้ชั้นได้รู้จักเธอ แต่แม่คู๊น...ใจแข็งมาก พยายามเข้าไปคุยด้วยก็ไม่คุย เดินหนีอย่างเดียว ตอนนั้นชั้นคิดว่า เธอมองชั้นเป็นเพียงทหารยศน้อยไม่คู่ควรกับคุณหนูผู้ร่ำรวย”

“คุณลุงยอมแพ้เหรอ!”

“ใครว่าล่ะ งานนี้ต้องเดินหน้าลุยอย่างเดียว!! จำไว้นะเด็กๆถ้ารักใครชอบใคร ตื้อเท่านั้น เอ็งจะสมปรารถนา! เริ่มจาก ร้องเพลงจีบสาว!”

คาโอรุ ริวโอ เรม “ห๋า!!!!!!!!!!!!!!!!!!จริงดิ?”ก่อนจะหันไปหาคนที่นั่งฟังเรื่องที่พ่อเล่าอย่างใจจดใจจ่อ...กับมันจะได้ผลเหรอ...

ซาอิงุนงงมาก ทำไมสามหนุ่มถึงตกใจแบบนั้น “ทำไมดูตกใจขนาดนั้น”

ริรินจึงทำหน้าที่อธิบาย “วิธีนี้ คลาสสิกและจีบได้ผลที่สุด”คำว่าได้ผลที่สุดทำเอาซาสึเกะ ห่อเหี่ยวเพราะตนร้องเพลงนั้นโคตรแย่เลย ริรินอธิบายต่อ “แต่มันยากนะ ถ้าคนที่ไม่เก่งจริง ตามปกติถ้าจะจีบกันก็น่าจะส่งของขวัญไม่ก็นัดเดตน และอีกอย่างการร้องเพลงถือว่าเป็นสิ่งที่แสดงความจริงใจของคนร้องด้วย สุดยอดเลยค่ะ คุณอา นับถือๆ”

“ฮ่าๆ ไม่หรอก ชั้นเองนึกถึงตอนนั้นมันก็อายนะ ปกติ ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวชั้นก็ไม่ร้องเพลงให้ฟัง และตอนนั้นชั้นก็...”หน้าคล้ำๆของชายมีอายุเริ่มแดง “อยากได้ผู้หญิงคนนั้นมาเป็นแม่ของลูกด้วย...”

คนที่ตอนนี้เป็นแม่ของลูกแล้วหน้าแดงๆ เด็กๆทั้งหลายตั้งตาฟังอย่างใจจดใจจ่อ

“ไม่นาน เมบุกิก็ใจอ่อน และเราสองคนก็คบหากันในฐานะคนรัก แต่ในตอนนั้นชั้นเป็นหัวหน้าทหารองครักษ์หน่วยยที่1 มีหน้าที่ต้องอารักขาเจ้านาย ต่อมาก็โดนย้ายไปเป็นขุนพลนำกำลังทหารหน่วยทะลวงฟัน รบอยู่แนวหน้า ชีวิตก็แขวนอยู่บนเส้นด้าย ไม่รู้จะตายเมื่อไหร่ เพราะการเป็นทหาร ก็ต้องเตรียมใจที่จะตายได้ทุกเมื่อ ชั้นเลยให้เกียรติ์คนรักของชั้นเสมอ จนกระทั่งเราสองคนแต่งงานกัน หลังจากแต่งได้ห้าปี...สงครามกลางเมืองก็เกิดขึ้น สงครามครั้งนั้นนับว่ารุนแรงมาก หลายตระกูลพยายามแย่งชิงความเป็นที่หนึ่ง ตอนนั้น เจ้านายสิบตระกูลทุกคนต่างต่อสู้กัน ตระกูลไหนอ่อนแอ ก็จะยอมสวามิภักดิ์ต่อตระกูลที่แข็งแกร่งกว่า จนสุดท้าย เหลือสองตระกูลที่แข็งแกร่งคือ ยาไมริกับอิเคบุ ตอนนั้นชั้นต้องไปทำสงคราม ในฐานะขุนพลคนหนึ่ง  สงครามนั้นช่างโหดร้าย และกินเวลานาน ชั้นภาวนาขอให้สงครามจบเสียที ตอนนั้นชั้นห่วงทั้งเมียที่ยังสาว ลูกในท้อง และครอบครัว...จนสุดท้ายตระกูลยาไมริกับคิเอบุก็ได้เป็นผู้นำแคว้นร่วมกัน สงครามจบ คร่อก!”คิซาชิล้มตึงเพราะสุรา

สองแฝดต่างช่วยพยุงกัน“อ้าวพ่อ/ลุง!”

หญิงสาวบ่นเบาๆ”จริงๆเลย เมาหลับซะแล้ว...เมาทีไรชอบพูดเรื่องสงครามนั่นทุกที”

คาโอรุทำหน้ามุ่ย “หนักวุ้ย ลุงนี่แอบไปกินผีพรายมาแน่เลย”

ซากุระแลบลิ้นเลียปาก”อย่าพูด อยากกิน”

“คืนนี้ไปกินดีป่ะ กินให้พุงแตกเลย”

“ดีๆ”

ซาอิที่เริ่มงุนงงจึงเอ่ยถาม “พวกคุณสองคนหมายถึงอะไรเหรอครับ”

ซากุระยิ้มหวาน “สงสัยรึเปล่าว่าทำไม ชั้นถึงดูปกติ และหนีออกจากโรงพยาบาลได้...”

“เอ๋”

“เพราะชั้นสะกดจิตเจ้าพวกนั้น และแน่นอน นายก็ด้วย ชั้นสะกดจิตให้นายนำกระเป๋าที่ใส่ชิกิออกไปวางนอกหมู่บ้าน”

จบคำความทรงจำก็แล่นเข้ามาในสมอง

... 

ขณะที่ซาอิแจ้งอิโนะแล้ว คนที่คิดว่าสลบอยู่กลับลืมตาแล้ว สั่ง “นายจงนำกระเป๋าใบนี้ไปที่นอกหมู่บ้านซะ แล้วก็ลืมด้วยว่าทำอะไร และใครสั่ง”สิ้นคำสั่งร่างบางก็นอนสลบตามเดิม

หลังจากที่ซากุระถูกพาตัวที่โรงพยาบาล เค้าก็นำกระเป๋าของเธอไปยังนอกหมู่บ้าน

...

พอนึกขึ้นได้ ซาอิก็รู้สึกขนลุกซู่ กลัวสองแฝดหัวชมพูขึ้นมาตะงิดๆ

หญิงสาวยิ้มร่า“ชั้นมีเชื้อสายองคเมียวจินะ เรื่องการอ่านใจ ถอดวิญญาณ สะกดจิต หรือแม้แต่ปราบวิญญาณน่ะ พวกเราทำได้สบายมาก แต่พลังเริ่มหมด ก็ต้องไปกินวิญญาณมาเสริมพลัง และแน่นอน ตอนศึก?ซาโกมะ ที่พวกนายเจอชั้นตอนที่อยู่บนเรือบดน่ะ ความจริงนั้นคือร่างแยกวิญญาณ เล่นเอาเหนื่อยเลย”

ซาสึเกะเอ่ยขึ้น “เธอคาดเดาเรื่องพวกนี้”

“ถูกต้อง เพราะถ้าไม่เป็นปีศาจ จะจัดการกับปีศาจได้ยังไงล่ะ ผู้ล่าน่ะ ต้องนำหน้าหนึ่งก้าว ไม่เป็นจุดเด่น แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ตัวตน ทำตัวให้เป็นผู้ล่าที่แท้จริงเพราะถ้ามัวแต่ไร้ตัวตน จากผู้ล่าจะกลายเป็นผู้ถูกล่าได้...”

คิโยโกะมองหลานสาวอย่างภูมิใจ...ตามรอยท่านเทนเซ ทำตัวสมเป็นนักล่า...

อุจิวะหนุ่มรู้สึกกลัวหญิงสาว เพื่อนที่เคยร่วมทีมขึ้นมาอย่างประหลาด เธอคาดการณ์ทุกอย่างเอาไว้อย่างแม่นยำและสามารถปรับแผนตามสถานการณ์ได้...นี่สินะ ที่ใครๆก็เรียกว่า ผีและเทวดาในร่างเดียว...

เรมยิ้มกริ่ม “สมกับที่สืบเชื้อสายมาจากท่านเทนเซ ร้ายสุดๆ”

อิโนะเริ่มจะกลัวเพื่อนของเธอแล้ว

ซากุระยกสุราดื่มนึกอยากจะเอาคืนเพื่อนรักที่ชอบโยนงานให้“อย่ากลัวน่า อิโนะ ชั้นไม่ได้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรขนาดนั้นไม่ต้องห่วง หลังจากหนึ่งอาทิตย์ ฝากทำงานในส่วนของชั้นด้วยล่ะ จะได้ไม่ออกไปโฮตส์คลับอีกนะ ฮ่าๆ”

“คุณซากุระครับ”

“จ๋าจ้ะ”

“คุณอิโนะไปที่คลับอะไรนั่นจริงเหรอครับ”

“ใช่แล้ว ยัยนั่นชอบให้ทิปกับหนุ่มๆแถมหอมแก้มด้วยนะ”

“ยัยโหนก รู้ได้ไงย๊ะ”

“โอะโฮะๆง่ายๆหูตาชั้นเยอะนะ”

ซาอิยิ้มกว้าง”คุณซากุระครับ ผมขออนุญาตใช้ห้องเคลียร์กับคุณอิโนะหน่อยนะครับ”

“เชิญเลย ทุกห้องเก็บเสียง แล้วถุงยาง?”

“ผมมีแล้ว”ชายหนุ่มชูกล่องถุงยางออกมา งานนี้ทำเอาคนที่เหลือหน้าแดง ไม่นึกว่าคนหน้าตายจะมีแง่นี้ด้วย

อิโนะพอเข้าใจความหมายหน้าพลันแดงก่ำ ซาอิไม่รอช้าคว้าแขนอิโนะให้ลุกตาม

“ทุกคนผมขอเชิญล่วงหน้า อีกไม่นาน ผมกับอิโนะจะแต่งงาน”

“เดี๋ยวสิ พูดอะไรออกมา”

“คุณแม่คุณก็โอเคนะครับ”ว่าจบซาอิก็ลากอิโนะไปเคลียร์กันที่ห้องนอนทันที ท่ามกลางเสียงกองเชียร์และเสียงร้องอันโยหวนของอิโนะ เสร็จแน่งานนี้ และเสียงหัวเราะชอบใจของซากุระที่ตอนนี้เริ่มจะเมา

เมบุกิยกสุราขึ้นจิบ “อิโนะจังก็เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ลูกๆนะ”

ซากุระตาโต(สร่างเมาทันที)ก่อนจะเสเปลี่ยนเรื่อง “พ่อเมาแล้ว ไปนอนเถอะนะ ไปๆคาโอรุช่วยกันๆ”

“อื้อๆ”

สองแฝดช่วยพยุงชายผิวเข้มที่เมาแอ๋ไป

“จริงๆเลย ลูกคนนี้ ปลิ้นเอาตัวรอดตนได้ตลอด เหมือนพ่อมันจริงๆ”เมบุกิบ่นอุบ

คิโยโกะหัวเราะแห้งๆ”เอาน่าพี่ อย่าไปเค้นเด็กๆเลย แต่ก็ดีนะ ปัญหาใหญ่เพิ่งจะสะสางไปให้เวลาหน่อย”...จริงๆเลย แต่ก็รู้จักหลบเมื่อควรหลบ...

“นั่นสินะ แต่คิโยโกะให้ท้ายหลานกับลูกมากไปรึเปล่า...”

ริวโอเข้ามาหาเมบุกิ “เอ่อ จะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมจะเรียกคุณน้าว่า คุณแม่น่ะ”

หญิงวัยกลางคนหัวเราะชอบใจด้วยเข้าใจความหมาย “ได้สิจ๊ะ โฮะๆ”

ซาสึเกะคิดหนักเพราะคู่แข่งแต่ล่ะคนไม่ธรรมดา อย่างริวโอ ก็สามารถเข้าหาแม่ของหญิงสาวได้...เราควรจะถอดใจรึเปล่านะ...

ท่ามกลางการกินดื่ม ทาเคโนะมารุจ้องมองซาสึเกะด้วยความเกลียดชัง พร้อมเหยียดยิ้มอย่างสมเพช

...คิดจะแย่งยัยหนูของชั้น ยังเร็วไปนะ ถึงชั้นไม่ต้องลงมือ ก็มีคนจัดการให้แล้ว แต่ยัยหนูจะเสน่ห์แรงเกินไปรึเปล่านะ...

...

หลังจากปาร์ตี้ซีฟู้ด เรมได้ชวนซาสึเกะออกไปดื่มกันตามประสาผู้ชาย โดยอ้างว่ามีเรื่องต้องการจะคุย สองหนุ่มเดินทางไปยังร้านเหล้านอกเขตตระกูลเก่า โดยการนั่งม้า ตัวเดียวกัน

ร้านเหล้าที่เรมพามาถือเป็นร้านขนาดกลาง ไม่ค่อยมีคนเข้าออก

เจ้าของร้านพอเห็นหน้าเรม ก็ผายมือเชื้อเชิญอย่างน้อบน้อมและพามาที่ห้อง เรมสั่งเจ้าของร้าน “เอาอย่างเดิม”

“ครับๆ”

เจ้าของร้านรีบเดินไปเพียงห้านาทีก็เข้าพร้อมสาวใช้ที่ถือถาดใส่เหล้าและกับแกล้มอย่างดีมาเสิรฟและออกไปอย่างรวดเร็ว

เรมรินเหล้าให้เพื่อนที่มาด้วยและของตัวเอง “นี่เป็นร้านประจำของผม หวังว่าเหล้านี่คงจะถูกปากนะครับ”

เรมยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ

ซาสึเกะยกขึ้นจิบเช่นกัน เหล้าที่ชายหนุ่มดื่ม มันคือเหล้าชั้นดี รสนิยมของชายหนุ่มคนนี้นับว่าดีมาก

“ขอเสียมารยาทนะครับ คุณชอบเบนิ ไม่สิ ซากุระ สินะ”

“หึ ถามตรงเกินไปไหม”

“ผมไม่ชอบอ้อมค้อม มันไม่ได้คำตอบ ว่าไง คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลย”

“รัก...ชั้นรักเธอมาก...”

“ผมเองก็เหมือนกัน...ตอนนี้เรามีเป้าหมายเดียวกันทำไมไม่ร่วมมือกันล่ะครับ”

“ขัดขวางการดูตัวรึ?”

“เปล่าครับ แต่ผมมีเรื่องที่ต้องบอกคุณไว้  ตระกูลของชิโอะคุงน่ะ เป็นตระกูลที่สังกัดรับใช้ตระกูลยาไมริ แถมตระกูลยาไมริยังเป็นพ่อสื่ออีก การดูตัวครั้งนี้มังแฝงนัยยะทางการเมืองด้วย”

ชายหนุ่มประชด“หึ มันก็ดีนะ ถ้าซากุระจะรักชอบเจ้านั่น”แต่ไม่มีทางหรอก เค้ารู้ดีว่าหล่อนรักใคร มันน่าเจ็บใจ

“ไม่ดีหรอกครับ เพราะงานนี้ใครก็ไม่มีสิทธ์ขวาง ความสัมพันธ์สองตระกูลเจ้านายอาจจะสั่นคลอนได้ แต่ผมเชื่อว่าเบนิไม่หนีแน่ เพื่อรักษาหน้าของตระกูลชิอินะ แต่ผมเดาได้เลยว่า ฝ่ายชิโอะคุงไม่รู้ว่า ฝ่ายหญิงคือใคร เพราะทางเจ้านายหาลือกันเอง อันที่จริงนอกจากถามเรื่องความรู้สึกของคุณที่มีต่อเธอผมก็มีเรื่องอยากจะรบกวน...”

“รบกวน?”

“ปกป้องเธอห่างๆ ตอนที่เธออยู่โคโนฮะ แค่ช่วงระยะนี้เท่านั้น สะดวกไหมครับ หรือคุณมีภารกิจอื่น”

“ขอถามหน่อยสิ ทำไม”

“วันนี้ผมกับเธอไปสอบสวนยามาซารุ ว่าใครนำข้อมูลของเบนิมาให้มัน  ตอนแรกคนที่ชื่อ ดันโซส่งข่าวไป แต่ก็เงียบหายเพราะเบนิจัดการฆ่าคนส่งสาสน์พร้อมกำจัดศพไปแล้ว แต่กลับมีข้อมูลชุดใหม่ส่งมาหลังจากที่ดันโซตายไป ผมไปสอบสวนมันพร้อมเธอปรากฏว่าข้อมูลมาเมื่อสามเดือนก่อน...”

“มีสายสืบที่โคโนฮะ สินะ”

“ก็อาจจะใช่ เบนิบอกว่า การเคลื่อนไหวของเจ้านั่นใช่นินจาแต่เป็นนักฆ่ามากกว่า พวกมันน่าจะมีเป้าหมายมาที่เบนิแน่ ผมมั่นใจ อีกอย่างเบนิเป็นคนนิสัยบ้าบิ่น เสี่ยงได้เสี่ยง และพอกลับไปที่โคโนฮะ เธอจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ”

ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างระอากับนิสัย เสียๆ ของเจ้าหล่อน“จะช่วยเท่าที่ช่วยได้นะ ดูท่าเธอจะศัตรูเยอะน่าดู”

“ก็อาจจะน้อยกว่าคุณนะครับ ทายาทตระกูลอุจิวะ”

“นายรู้เรื่องตระกูลชั้น”

“เผอิญเบนิ เป็นคนขอร้องให้ผมช่วยสืบเรื่องตระกูลคุณ เธอมีความสงสัย เพราะเธอไปเจอบางอย่างโดยบังเอิญ”

“มันคืออะไร”

ชายหนุ่มส่งบางอย่างให้ดู “มันคือข้อมูลการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ เซลล์ดวงตา ซึ่งเป็นของชิมุระ ดันโซ เพราะเป็นเรื่องของดวงตา จึงต้องใช้ชื่อจริงห้ามใช้นามแฝง พอผมลองสืบดู ก็รู้ว่า ดันโซ รวบรวมเนตรวงแหวนเพื่อครอบครองและทำให้ผมได้ข้อมูลการทุจริตของดันโซมาและคำสั่งลับสังหารหมู่ตระอุจิวะ ความจริงเบนิ สงสัยดันโซตั้งแต่ส่งคนจกหน่วยรากเข้ามาอยู่ในหน่วยเดียวกับเธอแล้ว”

ชายหนุ่มนึกถึงข้อมูลที่คาคาชินำมาจากบุคคลลึกลับ ข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลการทุจริตของดันโซ การปลูกถ่ายเซลล์เนตรวงแหวน หลักฐานการฆ่าอุจิวะ ซิชุย และคำสั่งลับสังหารหมู่อุจิวะ ประกอบกับการที่เค้าช่วยปลดปล่อยคนจากการอ่านจันทรานิรันดร์ นั่นสามารถลบล้างข้อหาของเค้าได้ทั้งหมดแถมข้อมูลเหล่านี้ดันแพร่กระจายไปทั่วทุกแคว้นอีก “ข้อมูลนั่น เป็นฝีมือนาย...”

“เบนิด้วย เพราะถ้าไม่มีเธอ ผมคงเข้าออกโคโนฮะไม่ได้ แน่นอนทุกแคว้น ผมคงเข้าออกไม่ได้ถ้าไม่มีเธอ”ใบหน้าคมคายเหยียดยิ้ม “เพราะหมู่บ้านนินจาน่ะ ถ้าคนในไม่นำพา คนนอกก็เข้าไปไม่ได้นะครับ เอโดะเองก็ต้องมีสายทั่วทุกแคว้นที่อยู่ในการปกครอง”

“ซากุระก็เป็นสายสืบรึ?”

“ไม่ใช่ เธอแค่ไปพักผ่อนที่โคโนฮะ แต่พักผ่อนอีท่าไหน งานถึงเต็มมือแบบนั้นก็ไม่รู้”

“ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ นินจาแพทย์มีน้อยน่ะนะ นายนี่ใจกว้างนะ ไม่มองชั้นเป็นคู่แข่ง”

“หึๆ ในทุกสมรภูมิ ไม่มีมิตรแท้ หรือ ศัตรูถาวรหรอกครับ เรื่องหัวใจผมเองก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ ผมถือคติว่า จะครอบครองแต่ไม่ครอบครอง นั่นคือความรักที่แท้จริง”

...หมอนี่ร้ายกาจ...สามารถสืบค้นข้อมูลและนำไปมอบให้กับคาคาชิได้ ชั้นคงเป็นหนี้เธอแล้วสินะ ซากุระ...

“นายรู้จักมาโมรุสินะ”

“ครับ ผมรู้จักดีเลย จะว่าไปตอนผมเห็นคุณครั้งแรกก็ตกใจอยู่เหมือนกัน เพราะ หน้าของพวกคุณเหมือนกันมาก”

“พอจะเล่าให้ฟังได้ไหม ว่าเป็นยังไง ทำไมเธอถึงต้องฆ่ามาโมรุ”

“ก็ได้ครับ ผมจะเล่าให้ฟัง เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน ตอนที่พวกผมได้บรรจุเป็นทหารตอนอายุ เก้าปี หลังจากนั้นสามเดือน ก็มีตำรวจแลกเปลี่ยน เข้ามาในหน่วย หน่วยของเราคือมาโมรุ เค้าอายุมากกว่าพวกผมห้าปี...ตอนแรกก็สบประมาทเบนิเอาไว้เยอะมาก...”เรมมองจอกสุราพลางนึกถึงอดีต ตอนที่พวกเค้าได้เจอกับมาโมรุครั้งแรก

...

หน่วยองครักษ์ทุกหน่วยยืนเรียงแถวตอนหนึ่ง ต้อนรับตำรวจแลกเปลี่ยนคนใหม่

เด็กหนุ่มวัยสิบหน้า หน้าตาหล่อเหลา ผมดำแซมเทาทรงก้นเป็ด ผิวขาว ท่าทางเป็นมิตร ตัวสูงโปร่ง สวมเครื่องแบบตำรวจสีดำช่างดูดี

‘ผม มาโมรุ ตำรวจแลกเปลี่ยนจากนี้ ขอฝากตัวด้วย’

สี่แสบแห่งเอโดะโค้งเคารพเล็กน้อย เพราะตำแหน่งสูงกว่า หนุ่มน้อยหัวชมพูในเครื่องแบบทหารเป็นฝ่านแนะนำตัวก่อน’ชั้นบันไซ หัวหน้าหน่วยองครักษ์หน่วยนี้’

แฝดสาวผมชมพูในเครื่องแบบ‘ชั้นเบนิ รองหัวหน้าหน่วยองครักษ์’

มาโมรุตรงเข้าไปหา แล้วถือวิสาสะกุมมือ ‘นิ่มจัง มือแบบนี้ไม่เหมาะที่จะจับดาบหรอกนะ คนสวย’

ลูกน้องในหน่วยคนอื่นถอยห่างไปสามก้าว มองคนมาใหม่ที่กล้าลองดีกับ รองหัวหน้าปีศาจ ซะแล้ว ด้วยหลายคนที่ลองดี ก็ลงไปกองกับพื้นเสียหลายราย

เด็กสาวชักมือกลับ แล้วยิ้มหวาน ถึงจะดูสวยงามแต่สำหรับลูกน้องนั่นคือรอยยิ้มเคลือบยาพิษ ‘ถึงมือของชั้นจะไม่เหมาะกับการจับดาบ แต่...’

‘อุ้บ!’

ร่างของเด็กหนุ่มวัยสิบห้ากลับต้องคุกเข่า มือสองข้างพยายามแงะมือบางๆของเด็กสาวที่บีบไหล่ของตน ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม’แต่...ก็สามารถทำให้นายคุกเข่าได้นะ ’

มาโมรุพยายามกลั้นเสียงร้องแต่ยิ่งกลั้นก็ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะเพิ่มแรงบีบหนักขึ้น เค้าพยายามกัดฟันถาม ‘นี่เธอเอาแรงมาจากไหน’

‘อื้ม...ไม่รู้สินะ เพราะพอฝึกเสร็จ แรงก็เยอะ กว่าชั้นจะมาถึงจุดนี้ได้ ก็เล่นเอาเหนื่อยนะ”พอพูดจบเด็กสาวก็เพิ่มแรงบีบอีก

‘อ๊ากกกก!!!’

มาโมรุไม่อาจกลั้นความเจ็บได้จึงร้องออกมา เด็กสาวปล่อยแทบจะทันที ‘หึ น่าเบื่อ ไปทำงานต่อล่ะ’

เรมเข้าไปพยุงคนที่โชคร้าย ‘คราวหน้าก็สงบปากเอาไว้บ้างนะ ชั้นเรม หน่วยข่าวกร่อง เป็นตำรวจ’

ริวโอแนะนำตัวบ้าง ’อั๊วะ ริวโอ หัวหน้าตำรวจหน่วยนี้ มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องของลื้อโดยตรง ว่าแต่ไหล่ลื้อแย่มากไหม’ ริวโอเข้ามาเปิดเสื้อของอีกฝ่าย ปรากฏว่า ตรงไหล่เกิดเป็นรอยช้ำม่วงจนน่ากลัว ’ลื้อมันโง่ ไปรักษาตัวก่อนไป๊ ยัยนั่นน่ะ มันร้ายกว่าที่เห็นภายนอกนะ’ว่าจบก็ดึงคนที่คุกเข้าจนตัวลอย

เพื่อนทหาคนอื่นเริ่มมาทำความรู้จักพร้อมกับเตือน ‘นายเนี่ยถือว่าโชคดีนะ ที่รองหัวหน้าเค้าสั่งสอนเบาะๆ’

‘มีหนักกว่านี้ด้วยเหรอ’

‘บางคนโดนดาบฟาดหน้ายับเลยน่ะสิ ไม่ก็ ชกซี่โครงหัก เห็นตัวเล็กๆแบบนั้น แต่แรงเยอะพอๆกับหัวหน้าริวโอ แถมฉลาดเป็นกรดอีก ทางที่ดี อย่าไปกวนโมโหจะดีกว่า’

มาโมรุยิ้มแย้ม‘มีเสน่ห์ดีออก เล็กพริกขี้หนู ดูแล้วไม่ใช่พวกลูกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ชักจะชอบแล้วสิ’

หลังจากนั้น...

มาโมรุก็พยายามเข้าหา เบนิ ทั้งบอกรัก ให้ดอกไม้แต่เด็กสาวกลับเมินเฉย แต่ในด้านการทำงานมาโมรุถือว่าเป็นคนที่มีฝีมือ และไหวพริบดี หลายๆครั้งเรม สังเกตว่า เบนิมักจะมองมาโมรุด้วยความเสียดายและเศร้าๆตลอด  เค้าจึงถามเหตผลเป็นการส่วนตัว พอเธอยื่นหลักฐานให้เท่านั้นแหละ ทำเอาเค้าเข้าใจในทันที

...

“เฮ้!”

“อ่า ครับ”

“คิดอะไร”

เรมยังคงมองจอกสุราที่ตอนนี้ได้สะท้อนเงาของแสงจันทร์ในยามราตรี“อดีตครับ...อดีตเมื่อวันวาน เราคุยกันถึงไหนแล้ว”

 “เธอโดนสบประมาท?”

ชายหนุ่มยกสุราขึ้นจิบ“ถูกแล้วครับ พวกเราบรรจุเป็นทหารใหม่ๆ ก็โดนสบประมาทเยอะมากเพราะเป็นเด็ก โดยเฉพาะเบนิที่เป็นเด็กผู้หญิง แต่เพราะแผนการของเธอ ทำให้ภารกิจสำเร็จทุกครั้ง แถมฝีมือของเธอก็ร้ายกาจมาก ทำให้เป็นที่ยอมรับ และมีบันไซที่เป็นเงาและโล่ของเธออีก ไม่มีใครทำอะไรเธอได้”

“หมอนั่นแข็งแกร่งสุดสินะ”

“ครับ ต่อให้ไม่มีดาบ หมอนั่นก็ฆ่าคนได้  หมอนั่น แค่มีวิชาพลังวิญญาณกับวิชาต่อสู้ก็ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ ผมชักอยากจะรู้ซะแล้วสิ ถ้าคุณสู้แบบเอาจริงกับหมอนั่น จะเป็นยังไงน้า... แขนขา หรือหัวยังจะอยู่กับตัวไหมน้า...น่าสงสัย เอาล่ะเรามาเข้าเรื่องของมาโมรุกันดีว่า... มาโมรุ เป็นคนฉลาด หน้าตาดี และแสดงท่าทางชัดเจนว่าชอบเบนิ แต่ผมรู้ดี เบนิ ไม่เคยไว้ใจ ไม่เคยไว้ใจมาโมรุ จนกระทั่ง...เกิดเหตุการณ์ที่ทหารหน่วย1โดนวางยา...”

“ไม่ตายกันหมดเหรอ”เพราะตอนนั้นไม่ค่อยสนใจเรื่องที่ซามุยเล่าสักเท่าไหร่

เรมเอ่ยเสียงแผ่ว“ยาถ่ายครับ”

...น่าอาย...

“ตอนนั้น เบนิถูกท่านมิคาโดะเรียกตัวไปปรึกษา ส่วนมาโมรุและทหารอีกสองไปลาดตระเวนพอดี เลยรอด ตอนนั้นเธอกรี๊ดหูแทบดับ”

“เพราะถูกแย่งของโปรดสินะ”

“ใช่เลย ตอนนั้นเธอจำต้องไปดูลาดราวกลุ่มพ่อค้าอาวุธเถื่อน ตอนนั้นเธอเบิกอาวุธเยอะมากเพราะไม่ไว้ใจมาโมรุตั้งแต่แรก ตอนนั้นพวกผมก็นึกห่วงจนแทบจะออกจากโรงพยาบาล จังหวะนั้นโอชิ กับจินโซ ที่รอดมาแจ้งข่าวพวกผม ตอนนั้นบันไซกับริวโอ รีบคว้าดาบคว้าปืนมุ่งไปโกดังโดยไม่สนใคร จนผมต้องตามไปด้วยพร้อกำลังหน่วยสองและสาม พอไปถึงก็เห็นโกดังเกิดไฟไหม้ พวกพ่อค้าที่หนีออกมา ก็ถูกพวกเราจับไว้ ส่วนบันไซ ตอนนั้นเค้าฝ่าเข้ากองเพลิงไป พร้อมตะโกนเรียกเบนิตลอด สุดท้ายก็เจอเบนิ ที่อยู่บนด่านฟ้า สภาพสะบักสะบอมคตัวของเธอเต็มไปด้วยเลือด โดยที่ศพของมาโมรุยังคงกอดเธอไว้ และในมือของเธอก็ถือดาบที่แทงหัวใจมาโมรุ  และด้านหลังของมาโมรุก็ถูกยิงเป็นรูพรุน ...หมอนั่นเอาตัวปกป้องเธอจนทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงขอตายด้วยมือของคนที่ตัวเองรัก...แต่ผมเองก็แปลกใจทั้งๆที่เบนิเก็บรวบรวมหลักฐานว่ามาโมรุเป็นสายลับไว้แต่ไม่ส่งให้ท่านมิคาโดะ เธออยากให้มาโมรุ กลับใจแต่สุดท้ายมาโมรุ ที่อยากตายก็...เลือกที่จะตายและได้ตายสมใจ...”

นั่นคือสิ่งที่ทำให้อุจิวะ ซาสึเกะตกใจ เธอในวัยเด็กต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้...เธอต้องผ่านอะไรแบบนี้มัน...

“ผมน่ะแอบสืบมา มาโมรุเค้าป่วย เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เดาได้เลยว่า หมอนั่นคงรู้ว่าตัวเองจะอยู่ได้ไม่นาน เลยอยากจะตาย ตายด้วยน้ำมือของคนที่ตัวเองรักและ...ขอให้เธอยับยั้งสงครามไม่ให้เกิดการสูญเสียอย่างที่ตนเคยประสบมา...”

“หมอนั่นเป็นคนที่รอดจากสงครามเมื่อยี่สิบปีก่อน”

“ใช่ครับ เค้าสูญเสียครอบครัวไป และถูก...”เดี๋ยวนะเจ้านั่น ไม่แน่ มันอาจจะยังไม่ตายก็ได้!...

“ถูกอะไร”

“ถูกเจ้านายคนหนึ่งเอาไปเลี้ยงเพื่อเป็นสายลับ คอยสังหาร ลูกหลานซามูไรที่มีทีท่าว่าจะแข็งแกร่ง หลังจากวันนั้น วันที่มาโมรุตาย สายสืบที่แฝงมาเป็นตำรวจและทหารแลกเปลี่ยนก็ถูกกวาดล้าง ถูกประหารเกือบหมด ก็เหลือแต่คนที่มีผลงานและกลับใจเท่านั้น หลังจากนั้นเบนิ เธอไม่ขอยศฐา เธอไม่ขอเงินรางวัล แต่ขอกลับบ้าน ที่โคโนฮะ หนึ่งอาทิตย์  เธอขอแค่นั้น แต่หลังจากนั้นเธอก็หายเศร้าและกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม”

“ขอบใจที่เล่าให้ฟัง”

สองหนุ่มก็ดื่มเหล้าต่อกันจนดึก จึงพากันกลับบ้านชิอินะ

คืนนั้นซาสึเกะกลับฝันถึงวัยเด็กที่ลืมเลือนไปนาน...

...

ซาสึเกะวัยสิบขวบ เค้าได้สูญเสียครอบครัว กำลังเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย และได้พบกับเด็กสาวที่เค้าสูงแค่ไหล่ของเธอ และจำได้ว่า เธอบาดเจ็บ มีผ้าพันแผลเต็มตัว  เค้าจำได้ว่า เธอตัวสูงช่วงขาเรียวยาวแต่จำหน้าไม่ได้ แต่เธอเป็นอะไร ทำไม แผลเต็มตัวแบบนั้น...เสื้อที่เธอสวมเป็นเสื้อแขนยาว ชายเสื้อยาว กางเกงขาสั้น และถุงเท้ายาวเลยเข่า รองเท้าผ้าใบ เครื่องแต่งกายของเธอล้วนเป็นสีดำยกเว้นหวกฟักทองที่ปิดเส้นผม มันตัดกับผ้าพันแผลสีขาวที่พันรอบศีรษะและตาซ้ายของเธอถูกปิดด้วยผ้าก๊อซ  เธอสะพายเป้สีขาวใบเล็กและเหน็บดาบยาวที่ข้างเอว

“เธอรออะไร”

“รอคุณพ่อ...”

“นั่นตุ๊กตาอะไร...”เค้าเห็นเจ้าตุ๊กตาประหลาดตัวโตที่เธอถือ มันเป็นตุ๊กตากระต่ายสีชมพู

“Pinku Rabbit ไม่มีมันชั้นนอนไม่หลับ”

“ประหลาด”

“คนเรามีความชอบไม่เหมือนกันนี่นา แล้วเธอล่ะ มาเดินเล่นเหรอ?หรือมารอผู้ปกครอง”

“ชั้นไม่ใช่เด็กแบบเธอ “

“ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ปกครองล่ะ”

เด็กชายหน้าหงิกเมื่อโดนจี้ใจดำ

“จริงๆด้วยสินะ”อีกฝ่ายขึ้นอย่างเอื่อยๆแต่ดูเหมือนว่าพออีกฝ่ายมองหน้าเค้า ตาขวาสีมรกตที่หม่นหมองกลับเบิกโพลง เพียงชั่วครู่ก็กลับมาเป็นปกติมือข้างที่ว่างกลับกุมดาบข้างเอว ร่างของเค้ากลับสั่นสะท้านแต่เพียงชั่วพริบตา มือที่จับดาบก็คลาย

“ขอถามอะไรหน่อย...”

“ว่ามาสิ”น้ำเสียงติดจะโมโหของเค้ากลับไม่ทำให้ร่างนั้นสะทกสะท้าน

“นายมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร...”

“เพื่อล้างแค้น”

“หึ เป็นเป้าหมายที่แปลกดีนะ แต่จุดจบของนายจะเป็นยังไงนะ มันช่างน่าสนใจ...อีกไม่นานเราคงจะได้เจอกันนะ...”เธอคนนั้นหันมายิ้มให้กับเค้า มันเป็นรอยยิ้มที่แฝงความเวทนา”ถึงเวลานั้น เราคงจะได้เห็นจุดจบ ของใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ชั้นก็นาย...ลาก่อน...” ร่างนั้นเงยหน้าขึ้นมา...

เค้าจำใบหน้านั้นได้แล้ว นั่นคือซากุระ เค้าได้เจอซากุระครั้งแรกเมื่อตอนนั้น เค้าไม่ได้เอื้อนเอ่ย ก็มีเสียงที่ไม่คุ้นดังขั้น

“มาแล้วเหรอลูก”

เด็กหญิงหันไปทางต้นเสียง”กลับมาแล้วค่ะ คุณพ่อ...”ว่าจบเธอก็เดินตามคุณพ่อที่มารับเธอไป โดยไม่สนใจเค้า

...

ซาสึเกะลืมตาตื่นก็เห็นว่า ที่ๆเค้าพัก คือบ้านชิอินะ บ้านหลังใหญ่ที่แสนหรูหรา ไม่แพ้บ้านอุจิวะในอดีต

เสียงรถม้าดังขึ้น...ใครไปไหนนะ...

เสียงพ่อบ้านดังขึ้น”คุณชายซาสึเกะตื่นแล้วนะครับ จะรับอาหารเช้าเลยไหมครับ”

“เมื่อกี๊ ใครไปไหน”

“อ๋อ คุณหนูซากุระครับ ดูท่าจะรีบร้อนเชียว”

“งั้นเหรอ แล้วคนอื่นล่ะ”

“ยังไม่ตื่นครับ จะรับอาหารเช้าที่ห้องเลยไหมครับ”

“ก็ดี รบกวนด้วย”

“ครับ”

ไม่ช้าพ่อบ้านชราก็นำสำรับอาหารเช้าเข้ามา

“ซากุระมาพักที่นี่บ่อยไหม”

“ก็...พอสควรครับ แต่ส่วนมากเธอจะพักที่บ้านทางใต้ไม่ก็ กรมทหารมากกว่า บางทีก็ไม่ได้มาพัก คุณหนูมาทำธุระเสร็จ ก็จะกลับทันที”

“แล้ว สมัยเป็นทหาร...”

“ตอนเป็นรองหัวหน้าหน่วยองครักษ์เหรอครับ อ๋อ ถ้าในช่วงวันหยุดล่ะก็ มาพักบ้างแต่ไม่ถึงขั้นบ่อยเพราะคุณหนูมักจะกลับไปฝึกวิชากับคุณท่านที่บ้านทางใต้เสียมากกว่า”

“บ้านนี้ดูใหม่ดีนะ คุณคงทำความสะอาดบ่อย”

“ไม่หรอกครับเมื่อยี่สิบปีก่อนสงครามชิงอำนาจของตระกูลเจ้านาย...มันรุนแรงมากเพราะต่างฝ่ายต่างมีกองกำลังทหารและอาวุธ เทคโนโลยีครบท้วน พื้นที่แถบนี้พังไปมาก ถึงย่านตระกูลเก่าจะเสียหายน้อยที่สุดแต่ก็ถือว่าแย่ ต้องซ่อมแซมเยอะมากแต่พื้นที่อื่นผู้คนล้มตายไปมากแถมทรัพย์สินเสียหาย ในตอนนั้นคุณหนูกับคุณชายน้อยยังไม่เกิด คุณหญิงเมบุกิตอนนั้นท้องแก่ใกล้คลอด ส่วนคุณหนูคิโยโกะเองก็เช่นกัน ตอนนั้นคุณคิโยโกะอยู่คฤหาสน์ฮารุโนะ โชคดีที่หนีไปที่หลบภัยได้ทัน ตอนนั้นผมสงสารคุณหญิงเมบุกิมาก เธอท้องแก่ แถมคุณชายยังต้องออกรบ  เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ ไม่ได้ติดต่อกัน เกือบปี แต่หลังสงครามคุณชายรอดกลับมาและคุณหนูกับคุณชายน้อยก็เกิด...แคว้นเราถือว่าฟื้นฟูความเสียหายได้รวดเร็วกว่าทุกแคว้น โอ้ ดูเหมือนว่าผมจะพูดมากไปแล้ว ขอตัวไปทำงานก่อนครับ เชิญคุณชายซาสึเกะตามสบาย”

ซาสึเกะทำหน้าไม่ถูก เพราะถูกเรียกว่าคุณชายแบบนี้ ...ประวัติของเธอที่อยู่โคโนฮะนอกจากชื่อแล้ว นอกนั้นปลอมหมดเลยสินะ อ่อนกว่าเราตั้งปีสองปี เดี๋ยวนะ ยัยนี่ตัวสูงกว่าเราเหรอ...”เสียศักดิ์ศรีชะมัด..”แต่ตอนนี้เราก็สูงกว่าแล้ว...คงเป็นเพราะตอนนั้น กระดูกสันหลังหัก...

ช่วงสายคาโอรุออกมาจากห้องนอนด้วยความงัวเงียเพราะต้องไปทำงาน แถมแฝดตัวร้ายยังส่งข้อความมาบอกว่าขอลางานวันหนึ่ง ทำงานแทนด้วยอีก “ให้มันได้ยังงี้สิ!”

“ดูนายจะอารมณ์บูดนะ”ซาสึเที่เดินผ่านมาร้องทัก

“เรื่องของชั้น...”ตาสีฟ้ามองมาที่ชายผมดำที่ทักตน “นายอย่าได้ยุ่งกับเธอ”

ซาสึเกะขมวดคิ้ว”ทำไม”น้อยๆหน่อย แกกับเธอเป็นญาติพี่น้องกันนะเว้ย

“นายไม่คู่ควร คิดว่าตัวเองดีมากนักซี่”

“และนายคิดว่า นายเหมาะเหรอ”

“ปัจจุบันก็ยังมีการแต่งงานกันในสายตระกูล แม้แต่ตระกูลนายเองก็แต่งงานในสายตระกูลเดียวกัน มิน่า อารมณ์ของนายเป็นแค่เด็กจริงๆ”

งานนี้ทำเอาอุจิวะหนุ่มโมโหสุดขีดที่ถูกพาดพิงถึงตระกูล เค้าพุ่งมาหมายจะต่อยแต่คาโอรุไวกว่า เข้าระชิดตัว มือขวาจ่อคอ “จุดนี้ถ้ากระแทกแรงๆ ตายทันที เสียแรงที่มีดวงตาเจ๋งๆนะ”

คาโอรุเดินออกมา ซาสึเกะเอามือจับคอ...หมอนี่ไวมาก ถ้าในมือมีดาบคงร้ายกว่านี้...

“แย่จังนะ ไปทำให้คาโอรุเขม่นแบบนั้น”เสียงหวานทักทาย

เจ้าของเสียงเป็นริรินสาวผมแดง เธอยิ้มให้กับเค้าอย่างเป็นมิตร “ดูท่า...นายกับเด็กคนนั้นจะเกี่ยวข้องกันเมื่อนานมาแล้ว...”

ซาสึเกะมองหญิงสาวอย่างงุนงง

“อย่าดูถูกชั้นนะ ชั้นเป็นคนทรง การที่คนๆหนึ่งมาเกี่ยวข้องกันในชาตินี้ ก็แสดงว่าชาติที่แล้วมีความเกี่ยวข้องกัน ดูแล้วท่าทางเธอในอดีตชาติ  จะมีอดีตชาติที่ไม่ธรรมดา ถ้าสนใจอยากรู้ล่ะก็ไปสำนักตระกูลคามิโนะ นะจ๊ะ”

หลังจากนั้นไม่นาน...

ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งรถม้ากลับมา พร้อมกับถือของมาเสียพะรุงพะรัง จนพ่อบ้านชราต้องวิ่งไปรับของจากมือ เธอมีผมสีดำยาว หน้าม้าดันยาวจนปิดหน้า และสวมกิโมโนสีเขียวอ่อน

“คุณหนูต้องการไปซื้อของ ทำไมไม่ให้คนใช้ตามไปด้วยครับ”

“คุณพ่อบ้านก็รู้นะคะ ว่าชั้นไม่ชอบ”เสียงคุ้นๆ “อ้าว ซาสึเกะ ตื่นแล้วสินะ ไปอาบน้ำเถอะ เหม็นเหล้า”

“เธอคือ...”

ร่างนั้นดึงวิกผมออกมา”ชั้นเอง”

ซาสึเกะทำตาโต แต่สาวเจ้ากลับเอ่ยหน้าตาย “อย่าคิดมาก ชั้นแค่ไปซื้อของใช้ส่วนตัว ของชอบและไปตัดเครื่องแบบใหม่  และชั้นไม่อยากให้ใครรู้ว่าชั้นไปไหน ไปล่ะ”

“นี่ตัวจริงของยัยนั่นเหรอเนี่ย...”ชายหนุ่มอดขำไม่ได้ เพราะเธอมีหลากหลายอารมณ์จริงๆแต่แบบนี้สิ ถึงมีเสน่ห์...ถึงเธอจะเกลียดชั้นแค่ไหน แต่ชั้นก็จะไม่ยอมแพ้หรอกนะ...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา