[Haikyuu]Against all odds ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม

-

เขียนโดย Dark_Shinigami

วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.34 น.

  9 ตอน
  0 วิจารณ์
  13.61K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2558 17.53 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

3) Ch.1 (3/3)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Chapter 1 - Part 3-

Title: Against all odds ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม

Story: Sharkbaitsekki (SS)

Translator: KITDS

 

อาทิตย์ที่ 1 – วันพฤหัสบดี (ต่อ)

ความเงียบเข้าปกคลุม โออิคาวะพยายามที่จะหาสาเหตุว่าทำไม แต่สายตาแปลกๆ ที่เขาได้รับก็ทำให้เขาระลึกได้ถึงสิ่งที่ทำให้หเขากลัวมากกว่าที่เขาคิด

“เดี๋ยวนะ ได้โปรดอย่าบอกฉันว่าเราจะต้องพูดกันเรื่อง ‘อดัมกับอีฟ ไม่ใช่อดัมกับสตีฟ*’นะ เพราะฉันผ่านมันมาได้แล้ว ขอบคุณมาก”

“ไม่ ไม่”คุโร่รีบแก้ไขความเข้าใจผิด แต่สีหน้าแปลกๆ ของเขาก็ไม่ได้หายไป “ไม่มีอะไรแปลกกับการเป็นเกย์หรอก เพื่อน”

“แค่...”โบคุโตะพูดต่อ เหมือนรู้ว่าคุโร่กำลังจะพูดว่าอะไร “นายมีลูกชาย”

“...แล้ว?”โออิคาวะถาม ไม่เข้าใจว่ามันสำคัญยังไง

“เอ่อ ฉันหมายถึงว่าการจะมีลูกนายจะต้องเอาไอ้นั่น...”

“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันเข้าใจแล้ว”โออิคาวะตัดบทก่อนที่เขาจะพูดอะไรมากเกินไปกว่านั้น “ฉันเคยแต่งงาน เพราะเคยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ผ่านเข้ามาแล้วผ่านไป”

“โห ไม่ดีเลยนะนั่น”โบคุโตะทำหน้าแหย “แล้วนายรู้ตัวเมื่อไหร่? ว่านายเป็นเกย์?”

“อ๋อ ระหว่างฮันนีมูน”

ความเงียบกริบกลับมาอีกครั้งหนึ่ง บางที’ความสามารถพิเศษ’ของโออิคาวะจะทำงานได้ไม่เต็มที่?

“ให้ตายสิ”สุดท้ายคุโร่ก็เริ่มหัวเราะอย่างจริงจัง “มันเป็นเรื่องที่เจ๋งมาก ฉันคิดว่าคุณภรรยาคงรับมันไม่ได้เท่าไหร่?”

“ความจริงฉันก็ไม่ได้บอกเธอทันทีเลยหรอกนะ ยังไงซะความเครียดก็ไม่ดีต่อการตั้งครรภ์”โออิคาวะเบ้ปาก “ฉันบอกเธอหลังจากที่โชโยเกิดมาได้ปีนึง ส่วนฮินาตะคือนามสกุลของเธอ หลังจากนั้นไม่นานการหย่าร้างก็ถูกดำเนินเรื่อง พวกเราทำข้อตกลงกันเมื่อสองเดือนก่อน โดยที่ฉันเป็นคนรับเลี้ยงลูกเต็มตัว”

“อย่างน้อยก็เป็นแบบนั้นล่ะนะ”ซาวามูระยิ้มให้เขา และจากน้ำเสียงก็บ่งบอกว่าเขาสนับสนุนเต็มที่ โออิคาวะรู้สึกว่าทุกคนรู้ว่ายังมีรายละเอียดบางอย่างที่เขาไม่พูดถึงอยู่ แต่เอาจริงๆ เขาเหนื่อยเกินกว่าจะเสแสร้งว่าสิ่งที่เขาไม่ได้พูดถึงนั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ็บปวดมากที่สุด เขาก็เลยพูดไปแค่นั้น

“ใช่ เอาล่ะ นั้นทั้งหมดแล้ว”เขากระตุ้นให้เดินหน้าต่อไป

“ฉันพูดคนต่อไปก็แล้วกัน”ซาวามูระเสนอตัว “โนยะ หรือชื่อเต็มนิชิโนยะถึงเขาจะอยากให้เรียกว่ายูมากกว่า เป็นผลพวงที่คาดไม่ถึงจากความเมาสมัยมหา’ลัย เขาไม่ใช่ข้อผิดพลาดอะไร แต่คู่ของฉันต่างหาก”เขาบ่นประโยคสุดท้ายออกมาเหมือนอาฆาตบางอย่าง และโออิคาวะก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงจุดนั้น ต้องขอบคุณสวรรค์ที่ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนของเขาไม่เคยตามมาด้วยการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ แต่ก็คงเพราะว่าเขาเคยว่าทำเรื่องอย่างว่ากับผู้ชายด้วยกันเอง

“ยังไงก็ตาม เธอไม่รู้ตัวว่าตัวเองท้องจนเกือบจะเข้าสู่ไตรมาสที่สามของการตั้งท้อง** ซึ่งสายเกินกว่าจะทำแท้งได้ พ่อแม่ของเธอรวย เธอก็เลยให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทำคลอดให้เธอตอนประมาณสัปดาห์ที่ 32 แล้วพวกเขาก็พายูไปไว้ที่โรงพยาบาลเพราะเขายังพัฒนาค่อนข้างไม่เต็มที่ ตอนนี้เขาก็เป็นโรคหืดหอบเพราะคลอดก่อนกำหนด

“เลวจริงๆ “คุโร่พึมพำเบาๆ แต่โออิคาวะก็เข้าใจความรู้สึกของเขา ฮินาตะเองก็เป็นเด็กที่น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ตอนคลอด และเขาก็เกิดตอนอายุครรภ์37สัปดาห์ เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าซาวามูระจะเครียดแค่ไหนที่ต้องเห็นทารกที่พัฒนาการไม่เต็มที่ต้องคลอดก่อนกำหนดเพียงเพราะแฟนเขาไม่อยากตั้งท้อง

“แต่ฉันก็รู้เรื่องนี้จากคนอื่นเล่าอีกที”ซาวามูระพูดต่อเหมือนกับอ่านใจพวกเขาได้ “ฉันไม่ได้อยู่ที่นั่น ความจริงแล้ว เธอติดต่อฉันมาตอนที่ยูอายุได้ประมาณ... 12เดือน เธอแค่โทรมาบอกความจริงผ่านโทรศัพท์และขอให้ฉันช่วยเหลือเธอ ตอนแรกมันก็ไม่ได้แย่นักหรอก พ่อแม่ของเธอเลี้ยงดูยูค่อนข้างดี ฉันก็เลยแค่แวะไปเพื่อดูเขาเท่านั้น แต่แล้วเธอก็กลับไปเรียนต่อ เหมือนทิ้งลูกให้ฉันดูแลคนเดียว และเธอก็มาเยี่ยมบ้างบางครั้งบางคราว จนเมื่อประมาณหกเดือนก่อน เธอสอบติดมหา’ลัยชื่อดังมากที่หนึ่ง พ่อแม่ของเธอก็เลยจ้างทนายความมาเดินเรื่องเงียบๆ ให้ฉันมีอำนาจการเลี้ยงดูยูคนเดียวถูกต้องตามกฎหมาย แล้วหลังจากนั้นเธอก็หายไปจากชีวิตฉัน”

“ต้องปกป้องชื่อเสียงตระกูลสินะ?”โออิคาวะเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจ “มันขี้ขลาดมาก ถ้าถามฉันนะ”

“ใช่ ฉันเองก็ไม่ได้ดีใจกับมันมากนักเหมือนกัน ยิ่งยูอยู่กับเธอแล้วสบายใจมากกว่าด้วยแล้ว การจะทำให้เขาคุ้นเคยกับฉันนี่เหมือนนรกเลย แต่อย่างน้อยเขาก็คุ้นเคยกับฉันก่อนที่เธอจะจากไป ถึงเขาจะเสียใจมากก็เถอะ”

“ดูจากที่เด็กนั่นต้องผ่านมาแล้ว ฉันละตกใจเลยที่เห็นเขาดูร่าเริงขนาดนั้น”โบคุโตะยิ้มบาง ดวงตาบ่งบอกว่าเขาเข้าใจ “เขาเป็นคนที่ร่าเริงที่สุดจากทุกคนเลย”

“สำหรับเรื่องนั้น ฉันดีใจมาก”ซาวามูระหัวเราะแห้งๆ “บางทีมันก็ยากจะรับมือเหมือนกัน แต่ฉันก็ดีใจมากที่เขาไม่ปล่อยให้สุขภาพและการหายตัวไปของแม่ของเขามารบกวนจิตใจ แต่ฉันค่อนข้างกังวลเรื่องพฤติกรรมเขาที่โรงเรียนเหมือนกัน เพราะฉันรู้สึกเหมือนเขาเริ่มมีปัญหาด้านพฤติกรรมขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ฉันก็เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนั้นเพราะฉันมีอ่านเกี่ยวกับเด็กเตรียมอนุบาล และเราก็จะแก้ไขปัญหาด้วยกันถ้าเราไปถึงจุดนั้น”

“นี่เป็นเรื่องที่สุดยอดมาก ขอยกย่องนายเลยที่สามารถผ่านมันมาได้ ซาวามูระ”สึกาวาระยกนิ้วให้ด้วยความประทับใจ

“เรียกฉันว่าไดจิเถอะ พ่อแม่ฉันเรียกฉันว่าซาวามูระ และครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเรียกแบบนั้น พวกเขากำลังด่าฉันผ่านโทรศัพท์อยู่”เขาหัวเราะด้วยความอึดอัดเล็กน้อย

“ไดจิ มันเป็นเรื่องที่ให้แรงบันดาลใจมาก ฉันดีใจที่นายตัดสินใจจะแบ่งปันมันกับพวกเรา”สึกาวาระยิ้มให้เขา ซึ่งไดจิก็ยิ้มเขินๆ กลับ นัยน์ตาของเขาฉายชัดว่าเขาดีใจกับคำชมนั้นแค่ไหน

โออิคาวะครุ่นคิดว่าพวกเขาจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเป็นแฟนกัน ส่วนตัวเขาก็เดาว่าสามอาทิตย์

“แล้วใครจะเป็นคนต่อไป? โบคุโตะ?”สึกาวาระถาม โบกมือให้ชายหนุ่มผมขาว

“ไม่ล่ะ ฉันขอผ่าน”เขาตอบกลับมาอย่างเหนือคาด ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วกอดอก

“ยังไงฉันก็จะไม่กดดันล่ะนะ แต่มันช่วยได้จริงๆ ไม่ใช่แค่พวกเรา แต่รวมถึงนายด้วยถ้านายเลือกที่จะพูดถึงมัน”สึกาวาระให้กำลังใจอย่างอ่อนโยน ทำให้โออิคาวะอดสงสัยไม่ได้ว่าในตัวเด็กนี่(ที่อายุน้อยกว่าเขาแค่สองปี)มีความมุ่งร้ายสักเสี้ยวนึงมั้ย ทุกอย่างที่เขาพูดฟังดูเหมือนสารของเทวดาของพระเจ้าอย่างไรอย่างนั้น

“วันนี้มันเป็นวันที่ยาวนาน ฉันเลยไม่ค่อยอยากพูดถึงมันเท่าไหร่”โบคุโตะปฏิเสธเขา “บางทีคราวอื่น หรือไม่เลยสักวัน”

“โอเค...”สึกาวาระดูไม่อยากจะปล่อยมันไปเท่าไหร่ และดูตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอะไรต่อไป แต่สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้พร้อมถอนหายใจ “คุโร่ล่ะ? นายอยากจะแบ่งปับเรื่องราวกับเรามั้ย?”

“เรื่องของฉันมันเศร้ายิ่งกว่านั้นอีก”ชายหนุ่มผมดำหัวเราะในลำคอ ถึงเสียงหัวเราะเขาจะฟังดูอึดอัดหน่อยๆ ก็ตาม “แต่ก็นะ... สรุปเรื่องให้สั้นเลยก็คือแฟนฉันเป็นโรคตับอักเสบระหว่างที่เราไปเที่ยวกัน แล้วเธอก็เอาชนะมันไม่ได้ เธอเพิ่งจากโลกนี้ไปหลายเดือนก่อน”

“เสียใจด้วย”สึกาวาระเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย ซึ่งคุโร่ก็พยักหน้าขอบคุณให้เขา

“ขอบคุณ ถึงฉันจะเดาว่ามันสามารถแย่ได้มากกว่านี้ก็ตาม เธอสู้กับโรคร้ายมากว่าครึ่งปีก่อนที่มันจะเกินกว่าที่เธอจะสู้ไหว และพวกเราก็พอรู้อยู่แล้วว่าการพยากรณ์โรคดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราก็เลยพอมีเวลาที่จะเตรียมตัวให้เคย์พร้อมกับการแยกจากแม่เขา ฉันก็ไม่คิดว่าเขาเข้าใจว่าแม่เขาจะไม่กลับมาแล้วสักเท่าไหร่หรอก แต่... มันอาจจะฟังดูเห็นแก่ตัว แต่ฉันก็อยากจะปิดไม่ให้เขารู้ไปก่อน”

“แล้วนายรับมันได้แค่ไหน?”สึกาวาระถามโดยยังคงคำนึงถึงความรู้สึกของคุโร่ ซึ่งโออิคาวะก็ยกนิ้วให้เขาอีกครั้งสำหรับการเห็นใจโดยเลี่ยงให้ไม่ดูเหมือนว่าสงสารหรือเวทนา

“มันก็ดีกว่าที่ฉันคิดไว้ ฉันรู้ว่าฉันยอมรับความตายของเธอได้แล้วตั้งแต่เธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ฉันก็รู้สึกผิดที่สามารถก้าวผ่านมันมาได้เร็วขนาดนี้”คุโร่บอกพลางลูบท้ายทอยด้วยความประหม่า “เคย์เป็นอุบัติเหตุที่เราพร้อมจะเดินหน้าไปด้วยกัน เราไม่ได้คิดถึงการแต่งงาน แต่เราก็ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันและรอดูว่าสถานการณ์จะพาเราไปไหน ฉันคิดว่าส่วนที่ยากที่สุดคือสูญเสียคนที่คอยแนะแนวทางในการดูแลลูกให้กับฉัน มันยากมากที่จะเป็นทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน”

“ฉันชื่นชมที่นายสามารถผ่านมันมาได้ แต่ตราบใดที่นายมีเวลาที่อาลัยอาวรณ์ถึงเธอและโหยหายความใกล้ชิดแล้ว นายไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรหรอกนะ”สึกาวาระยืนยัน “สำหรับความยากลำบากในการเป็นทั้งพ่อและแม่ มันเป็นความยากลำบากที่พวกนายทุกคนต้องเผชิญเหมือนกัน และนี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมกลุ่มสนับสนุนนี้ถึงมีขึ้น พวกนายคงไม่สามารถหาคนมาแทนคู่พวกนายที่หายไปได้ แต่พวกนายจะสามารถให้การสนับสนุนกันและกันได้ในเวลาที่ต้องการแน่นอน”

“อาเมน”โออิคาวะพยักหน้า

“เอาล่ะ พวกนายทุกคนมาอยู่ที่นี่ก็เพราะพวกนายเป็นคุณพ่อมือใหม่ที่ยังโสดและยังเด็กอยู่ ผู้อำนวยการของสถานรับเลี้ยงเด็กที่ศูนย์สังคมสงเคราะห์เข้าใจสถานการณ์ของพวกนายดี และมันก็เหมือนเหมือนเป็นข้อปฏิบัติทั่วไปที่จะส่งคุณพ่อมือใหม่ที่ขาดการช่วยเหลือจากบุคคลภายนอกเข้ามายังกลุ่มกลุ่มนี้ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งรู้สึกว่าการอยู่ที่นี่หมายความว่าพวกนายเป็นพ่อที่ไม่ดีหรือนายไม่เหมาะสม ในความเป็นจริงแล้ว ความจริงที่ว่าพวกนายอยู่ที่นี่หมายความว่าพวกนายพร้อมที่จะขอความช่วยเหลือและทำเพื่อลูกของพวกนายอย่างดีที่สุด และนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ผู้ปกครองจะสามารถทำให้ลูกได้”สึกาวาระสาธยายเหมือนเขากำลังเขียนเรียงความและฝึกพูดอยู่หน้ากระจก

สิ่งที่เขาพูดเหมือนจะช่วยกระเตื้องความมั่นใจในแต่ละคนขึ้นมาเล็กน้อยและชายหนุ่มผมเงินก็ยิ้มเหมือนเห็นว่าพวกเขาคลายไหล่ที่เกร็งลง

“เพราะงั้น เรามาเริ่มกันที่ปัญหาที่พวกนายกำลังเผชิญอยู่ตอนนั้นกันดีกว่า ปัญหามันจะไม่มีทางคลี่คลายถ้าเราแค่นั่งอยู่เฉยๆ แต่การพูดถึงมันจะช่วยให้นายมองเห็นหนทางในการรับมือมันหรือแหล่งที่นายจะหาความช่วยเหลือได้ อีกอย่าง ถ้ามีใครสักคนเคยประสบปัญหานั้นมาก่อน การแบ่งปันมันก็จะมีค่ามากสำหรับคนอื่นๆ แล้วใครอยากจะเริ่มก่อนเอ่ย ไดจิ? นายเคยพูดถึงปัญหาของโนยะมาก่อน นายอยากจะขยายความตรงนั้นมั้ย?”

“มันไม่มีอะไรจะต้องพูดถึงมากนักหรอกนะ”ไดจิยักไหล่ “ยูตัวเล็กและน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ประมาณเปอร์เซนไทล์ที่สามสิบทั้งด้านส่วนสูงและน้ำหนัก แต่หมอของเขาบอกว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับสารอาหาร แต่เป็นปัญหาของฮอร์โมนบกพร่องที่เกิดจากการคลอดก่อนกำหนด ถ้าปัญหานี้ยังไม่คลี่คลายตอนที่เขาเริ่มเข้าอนุบาล หมอจะให้เขาฉีดฮอร์โมนทดแทนเพื่อทำให้เขาโตขึ้นนิดหน่อย นอกจากนั้นก็... เขาเป็นโรคหอบหืด แต่เขารู้ว่าเขาจะต้องใช้ยาพ่น เขายังต้องการความช่วยเหลือในเรื่องนั้น แต่เขาป่วยบ่อยตั้งแต่เด็ก เขาเคยรู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะต้องใช้ยา”

“เยี่ยม นายมีลูกที่เข้มแข็งมากยะ”คุโร่เสนอความเห็น “ฟังเหมือนว่าเขาทำได้ดีถึงจะเจอเรื่องร้ายๆ มาเยอะ”

“ใช่ ฉันก็ดีใจที่ทางด้านสุขภาพฉันไม่ต้องเป็นกังวลอะไร แต่ฉันกังวลเกี่ยวกับพฤติกรรมของเขามากกว่า”ไดจิเบ้หน้าเหมือนเขาเพิ่งนึกอะไรออก “เขาชอบส่งเสียงดังและอารมณ์รุนแรง และเขาไม่สนใจอะไรเลยนอกจากทำในสิ่งที่เขาต้องการ ฉันค้นเกี่ยวกับโรคสมาธิสั้น แต่มันก็พูดยาก ในเมื่อเด็กวันเขาก็กระปรี้กระเปร่ากันแบบนี้อยู่แล้ว ฉันไม่อยากจะเพิกเฉยอาการเหล่านี้ แต่ฉันก็ไม่อยากจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ และฉันก็คิดว่าจะพาเขาไปหาหมอ แต่คลินิกส่วนมากก็คนแน่นมาก ฉันเองก็ทำงานตลอดทั้งวัน ฉันก็เลยไม่อยากจะพาเขาไปตรวจถ้าไม่เกิดอะไรไม่ดีขึ้น”

“ถ้าลองเข้มงวดกับเขามากกว่านี้ล่ะ?”โออิคาวะเสนอ “มันไม่ง่ายที่จะทำ แต่ถ้านายใช้ไม้แข็งไปหน่อย บางทีนายอาจจะทำให้เขาเข้าใจว่าเขาจะต้องนั่งเวลาที่ถูกบอกให้นั่งและจะเล่นได้ก็ต่อเมื่อนายอนุญาต”

“ฉันคิดว่ามันจะชัดเจนกว่านี้ระหว่างสมาธิสั้นกับนิสัยของเขาเองตอนที่เขาเริ่มเข้าโรงเรียน พวกสถานรับเลี้ยงเด็กไม่ค่อยช่วยในการวิเคราะห์เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ เพราะยังไงส่วนมากเด็กก็วิ่งเล่นอยู่แล้ว แต่นายก็อาจจะอยากรู้ให้แน่ชัดตอนที่เขาเริ่มเข้าเรียน มันอาจจะช่วยให้นายหาทางรับมือได้”โบคุโตะแนะนำ และโออิคาวะก็ต้องยอมรับ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ปัญญาอ่อนอย่างที่เขาคิดตอนแรกก็ได้

“ก็บางทีนะ ยังไงซะนั่นก็คือความกังวลของฉันในตอนนี้”ไดจิพยักหน้า “ใครอยากจะต่อมั้ย?”

“ฉันเอง”โบคุโตะเสนอ เขายืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง “ฉันจะเป็นประมาณว่าเคย์จิเงียบเกินไปสำหรับเด็กสี่ขวบ และที่ฉันพูดถึงเงียบ มันหมายถึงเงียบมากๆ เหมือน...ตอนที่ฉันเห็นเขาผ่านกระจกสถานรับเลี้ยงเด็กบางครั้ง เขาจะนั่งอยู่ที่มุมห้อง เล่นโดยที่ไม่ส่งเสียงอะไรเลยคนเดียว เด็กคนอื่นพยายามจะเข้าไปชวนเขาเล่น แต่เขาก็ปฏิเสธและนั่งเล่นคนเดียว ฉันถามอาจารย์ดู แล้วเขาก็บอกฉันว่าเคย์จิทำตามคำสั่งและตั้งใจฟังคำแนะนำต่าง เขารู้ว่ามีเด็กคนอื่นๆ อยู่ แต่เขาก็เหมือนกับ... รักสันโดษ? บางที? ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะกังวลรึเปล่า”

“เขาพูดอะไรเกี่ยวกับมันบ้างรึเปล่า?”ไดจิถาม “เหมือน นายได้ถามเขารึเปล่าว่าทำไมถึงอยากอยู่คนเดียวมากกว่า?”

“เขาไม่ได้บอก ทุกๆ ครั้ง เขาจะบอกแค่ว่าเขาอยากเล่นคนเดียวแค่นั้น”โบคุโตะส่ายหัว

“นายลองให้เขาทำอย่างอื่นดูรึยัง?”คุโร่รำพึงเสียงดัง “ช่วงวัยนั้น มันเป็นเรื่องของการเริ่มต้นสิ่งใหม่เพื่อที่พวกเขาจะได้เรียนรู้โลกรอบๆ ตัวด้วยตัวของพวกเขาเอง บางทีเขาอาจจะกลัวการลองสิ่งใหม่ๆ เขาก็เลยอยากจะอยู่ในขอบเขตที่เขาสบายใจรึเปล่า?”

“อาจจะ”โบคุโตะทำเสียงครุ่นคิด ตาเหลือบมองเพดานเหมือนมันมีคำตอบเขียนอยู่ตรงนั้น “นายคิดว่าฉันควรจะหาอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่ควรคาดหวังจากเด็กวัยนี้รึเปล่า?”

“ต้องขอโทษที่รบกวนนะ”สึกาวาระเอ่ยขอโทษ ยกมือขึ้นเล็กน้อย “แต่ถ้านายอยากรู้เกี่ยวกับเด็กและการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ มากขึ้น หากอ้างอิงจากทฤษฎีพัฒนาการด้านสังคมจิตวิทยาของอีริกสันแล้ว เด็กวัยอนุบาล ช่วงอายุสี่ถึงหกขวบ เขาชอบที่จะเริ่มต้นสิ่งใหม่ แต่ถ้าพวกเขาผิดหวังกับมัน เขาจะรู้สึกผิด มันอาจจะเป็นไปได้ว่าเคย์จิเคยพยายามทำอะไรบางอย่างแล้วผิดพลาด เขาก็เลยปิดกั้นตัวเองจากคนอื่น”

“แล้วฉันจะเอาเขาออกมาจากโลกของเขาได้ยังไง? ฉันไม่สามารถอยู่กับเขาได้ทั้งวันที่สถานรับเลี้ยงเพื่อให้เขายอมเล่นกับเด็กคนอื่นๆ ไหนจะเรื่องอื่นๆ อีก...”โบคุโตะโอดครวญ

“เคย์เองก็เคยเงียบมากๆ เหมือนกัน และเขาก็ยังเงียบอยู่ เขายังเด็กไปหน่อยสำหรับวัยที่ริเริ่มสิ่งใหม่ๆ แต่เขาก็รู้จักที่จะปรับตัวกับสภาพแวดล้อม และฉันก็เคยเป็นห่วงมากที่เขาไม่เคยอยากรู้อะไรเลย”คุโร่เล่า “เขาจะเล่นกับไดโนเสาร์ของเขาคนเดียวที่มุม และไม่ชอบใจเวลาที่จะต้องลุกจากตรงนั้นเพื่อไปที่อื่น ฉันเลยไม่รู้ว่าจะทำยังไง แต่แล้ววันหนึ่งฉันพาเขาไปเที่ยว และเขาก็พูดถึงว่าไดโนเสาร์บอกเขาให้เขาจับมือฉันตอนข้ามถนน นั่นทำให้ฉันรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เขากำลังรับเอาสภาพแวดล้อมรอบตัวเข้าไปและกลั่นกรองความรู้ต่างๆ ที่ได้รับ แต่แค่ไม่สนใจที่จะไปขวบขวายหาความรู้เพิ่มเติม”

“นั่นมันน่ารักมากเลย นายได้ผลักดันให้เขาเริ่มค้นคว้าอะไรด้วยตัวเองหลังจากนั้นบ้างรึเปล่า?”โออิคาวะถามด้วยความสงสัย

“แค่นิดหน่อย ฉันพาเขาไปที่สวนสาธารณะแล้วคุยกับเขา ส่วนมากผ่านไดโนเสาร์ และฉันก็พาเขาไปห้างเพื่อให้เขาคุ้นเคยกับผู้คนและรู้จักระวังคนแปลกหน้า เขาค่อนข้างเงียบ แต่ฉันก็มั่นใจว่าเขากำลังเรียนรู้มันอยู่”คุโร่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหน้าไปหาโบคุโตะ “เพราะงั้นบางทีเคย์จิเองอาจจะเหมือนกัน เรียนรู้โดยที่ไม่แสดงออก มันจะช่วยนายได้มากถ้านายนั่งกับเขาแล้วพยายามจะเข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่เล่นกับเด็กคนอื่น ในเมื่อการรู้จักคนอื่นจัดว่าสำคัญแล้วสำหรับเด็กวัยนั้น และสถานรับเลี้ยงเด็กก็เป็นที่ที่ดีที่จะฝึกเรื่องนั้น”

“คุโร่ นายรู้เกี่ยวกับทฤษฎีพัฒนาการมากแค่ไหน?”ไดจิถามด้วยความสงสัยพลางเลิกคิ้วให้อีกฝ่ายที่ยิ้มอวดดีตอบกลับมา

“ฉันบอกแล้วว่าฉันเป็นสุดยอดคุณพ่อ เก้าเดือนเป็นเวลาที่นานมากสำหรับการเตรียมตัว ตรงกันข้ามกับที่คนส่วนมากเข้าใจผิด ฉันเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ เลย”คุโร่ตอบอย่างมั่นใจ โออิคาวะต้องยกนิ้วให้เขา เคย์ตอนนี้อายุสามขวบ นั่นหมายความว่าคุโร่อายุ 19 ตอนที่เขาเตรียมตัวจะเป็นพ่อคน โออิคาวะเองก็ไม่ได้อายุมากกว่าเท่าไหร่ตอนที่เขาได้ข่าวเกี่ยวกับโชโย 20 ถ้าเขาจำไม่ผิด แต่เขาก็แน่ใจว่าเขาไม่ใช่สุดยอดคุณพ่อเหมือนคุโร่

เขาไม่ชอบที่จะแพ้ในเกมของตัวเองเลย แต่ถ้าเขาจำไม่ผิด เขามีหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาในเด็กอยู่สองสามเล่มที่อพาร์ทเม้นต์ของเขา มันคงไม่ยากที่จะอ่านพวกมันนักหรอกน่า?

ผิดแล้ว ดวงตาห้อเลือดของเขาย้ำเตือนเขา เขาต้องการการพักผ่อนถ้าเขาไม่อยากจะดูแก่กว่าอายุของตัวเองถึง10ปี ไม่นอนก็ความรู้พื้นฐานที่เขาพยายามจะลองอ่านแต่ไม่เคยอยู่ในสารระบบของเขา หรือบางทีเขาอาจจะต้องไปร้านเสริมสวยอีกครั้ง พวกเขาคงคิดถึงลูกค้าคนพิเศษของพวกเขา หรือถ้ามันไม่เวิร์ก เขาคงได้แต่หวังว่าคืนนี้ฮินาตะจะยอมให้เขาได้นอน

“คุโร่ นายดูรับมือเคย์ได้ดี มีอะไรที่คาใจนายบ้างรึเปล่า?”สึกาวาระถามกระตุ้น

“อืม... ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวมั้ย แต่ฉันกังวลเกี่ยวกับการเงินมากกว่าอย่างอื่น”คุโร่ยอมรับ เขาดูอายๆ เล็กน้อย

“แน่นอน”สึกาวาระยืนยัน “ปัญหาการเงินเป็นปัญหาที่พบบ่อยในบ้านที่มีเสาหลักเพียงคนเดียว นายอยาจะอธิบายอะไรเพิ่มเติมมั้ย?”

“ฉันหมายถึง เอาตรงๆ เลยนะ ฉันทำงานสามอย่างเพราะฉันต้องแบกรับค่ารักษาพยาบาลของแฟนฉันจนถึงตอนนี้ ยิ่งกว่าค่าอพาร์ทเม้นต์และค่าของใช้ของสึกกี้ แต่ทุกอย่างก็โอเค เพราะฉันชักหน้าถึงหลังทุกเดือน แต่ทำงานสามอย่างด้วยค่าแรงขั้นต่ำมันกินเวลาฉันไปเยอะมาก และฉันก็กลัวว่าฉันไม่สามารถดูแลเคย์ได้เหมือนที่ฉันควรเพราะฉันจะเหนื่อยมากตลอดเวลา”เขาอธิบาย ไม่กล้าที่จะสบตาใคร

“แต่เพื่อน นั่นมันเหมือน... ไม่มีเวลาว่างพักผ่อนให้นายเลย นายทำแบบนั้นไม่ได้นะ”โบคุโตะแย้งพลางขมวดคิ้ว “ทุกคนต้องการเวลาพักทั้งนั้น จะสุดยอดคุณพ่อรึเปล่าก็ตาม นายก็เป็นที่ผู้ชายคนหนึ่งเหมือนคนบ้านนอกทุกคนในที่นี้”

“นายเรียกใครว่าบ้านนอก?”โออิคาวะอ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนโดนด่าเล็กน้อย

“อย่าเรื่องมากกับเรื่องแค่นี้เลยน่า พ่อหนุ่มหน้าสวย เราก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกันหมด”โบคุโตะยักไหล่เหมือนมันเห็นได้ชัด “พทยยกยย. พวกเราทุกคน”

“พทยย...กยย..?”ไดจิถามด้วยความไม่แน่ใจ

“ใช่ พ่อที่ย่ำแย่เกินเยียวยา”โบคุโตะอธิบายอย่างภาคภูมิ เรียกเสียงหัวเราะจากคุโร่

“ฉันมั่นใจว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงๆ แต่นายก็ถูกของนาย”เขาหัวเราะเสียงต่ำ “ยังไงก็ตาม ฉันรู้ว่ามันแย่มาก แต่ฉันก็อยากจะกลับไปเรียนรู้ ฉันก็เลยเร่งงานตอนนี้เพื่อที่วันที่เคย์เข้าอนุบาล ฉันจะได้ลาออกสักงานสองงานเพื่อจะได้เรียนต่อมหา’ลัย ตอนนี้ฉันยังทำเกือบ60ชั่วโมงต่ออาทิตย์ 9ชั่วโมงทุกวันยกเว้นวันเสาร์ และฉันก็กลัวว่าจะทำตัวห่างเหินกับสึกกี้ เขาเพิ่งเสียแม่ไป และฉันก็ไม่อยากให้เขารู้สึกว่าเขากำลังจะเสียอีกคนไปเหมือนกัน”

“นายนี่มันคุณพ่อตัวอย่างจริงๆ”โบคุโตะอ้าปากค้างด้วยความทึ่ง “ให้ตายเถอะ นายจะมาเป็นพ่อให้ลูกชายฉันมั้ย?”

“โบคุโตะ นายทำเองได้น่า”คุโร่หัวเราะ “แต่ฉันจะช่วยดูแลให้ได้ถ้านายต้องการ เคย์อาจจะชอบเพื่อนเล่นที่เงียบๆ ก็ได้”

“โอ้ นัดเดทล่ะ”โบคุโตะตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แล้วทั้งสองคนก็ชนกำปั้นกัน ต่างฝ่ายต่างดูพอใจ

โออิคาวะมองพวกเขางงๆ ก่อนจะถอนหายใจพร้อมส่ายหัวไปมา

“จริงๆ เลย พวกนายสองคน... มันเหมือนพวกนายมากกว่าที่อายุสามขวบ”เขาหัวเราะ “ยังไงซะ คุโร่ ฉันก็เคยทำงานหลายอย่างอยู่เหมือนกัน และฉันบอกนายได้เลย นายทำมันได้ดีมากที่ทำสามงานพร้อมกัน ฉันเคยทำแค่สองงาน และมันก็เหนื่อยมาก แต่ในขณะเดียวกัน ฉันรู้ว่ามันเป็นยังไง นายอาจจะอยากทบทวนมันใหม่ เพราะความเหนื่อยนั้นมันไม่คุ้มหรอก และมันไม่ช่วยทั้งนายและเคย์ถ้านายไม่ว่างเลยหลายๆ วัน”

“ฉันรู้ แต่ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วเหมือนกัน ฉันไปกู้ยืมเงินก็ไม่ไหว เพราะดอกเบี้ยก็สูงซะจนฉันใช้คือไม่ไหวแน่ๆ และครอบครัวของฉันก็ไม่ดีใจกับทางเลือกของฉัน ฉันเลยคาดหวังความช่วยเหลือจากพวกเขาไม่ได้” คุโร่เบ้หน้า “ฉันเดาว่าฉันคงต้องหายใจเข้าลึกๆ และฝ่ามันไป ถ้ามันเป็นไปด้วยดี เคย์ก็จะเข้าอนุบาลในสองปี และฉันก็จะเลิกทำได้งานนึง อาจจะเป็นงานที่จ่ายเงินสดอยู่ตอนนี้”เขาหยุดไปสักพักก่อนจะกัดปากตัวเอง “ฉันไม่น่าพูดถึงมันเลย”

“ทุกอย่างที่ถูกพูดถึงในห้องเป็นความลับสุดยอด”สึกาวาระบอกอย่างรวดเร็ว “และระหว่างที่ฉันกำลังร่วมประชุมนี้อยู่ คุโร่ นายอยากให้ฉันหาทางเลือกอื่นสำหรับการช่วยเหลือทางการเงินสำหรับคุณพ่อคนเดียวรึเปล่า? ทำงานสองอย่างคงจะทำให้นายหมดสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่มันยังมีองค์กรอื่นๆ อีกที่คอยช่วยคนแบบนาย”

“เอ ฉันหมายถึง... ฉันทำเองได้...”คุโร่ขัดจังหวะด้วยการถอนหายใจ “แต่เฮ้ ถ้ามันไม่รบกวนเกินไป ฉันก็ขอบคุณ แต่ฉันแค่... ไม่อยากได้รับความเวทนาจากใครทั้งนั้น มันเห็นได้ชัดว่าฉันทำทุกอย่างที่ฉันทำได้เพื่อลูกชายของฉัน แต่ฉันก็ไม่อยากรับความช่วยเหลือเพราะฉันอาภัพหรอกนะ เพราะฉันไม่ใช่”

“การเพิ่มขีดจำกัดสำคัญสำหรับการเป็นผู้ปกครองคนเดียว แต่นายไม่ใช่กรณีสงสารหรอกนะ นายสามารถพยุงตัวเองได้ดีมาก แค่ให้พวกเราแบ่งภาระของนายบ้าง ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน แต่มันก็จะช่วยนายได้นานพอที่นายจะหาทางแก้ไขล่ะนะ”สึกาวาระยิ้มให้เขา และคุโร่ก็บังเอิญยิ้มตอบกลับไป

“ขอบใจ ฉันเพิ่งสัญญาไปว่าจะไม่ให้การจากไปของแม่ของเคย์มากระทบกับชีวิตของพวกเราในระยะยาว แต่มันก็พิสูจน์ให้ฉันเห็นว่ามันยากกว่าที่ฉันคิดไว้ตอนแรก”เขาหัวเราะแห้งๆ มือยีผมยุ่งๆ ของเขา “ยังไงซะ ฉันก็อยากจะทำให้แน่ใจว่าเย็นวันพฤหัสและเช้าวันเสาร์ว่างเพื่อที่พวกนายจะได้ไม่ต้องคิดถึงหน้าหล่อๆ ของฉัน”

“อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย”ไดจิหัวเราะเบาๆ

“ใช่ เพื่อน เรามีหนุ่มหน้าสวยแถวนี้แล้ว”โบคุโตะยิ้มกรุ้มกริ่ม ดวงตาเสมองไปทางโออิคาวะ “พูดถึง นายอยากจะเล่าเรื่องของนายให้ฟังรึเปล่า หรือยังไง...?”

“ฉันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่คุณพ่อกับเด็กสองขวบ”โออิคาวะยักไหล่ “ฉันแค่เป็นห่วงเรื่องการฝึกเข้าห้องน้ำให้เขา เขาอายุ26เดือนแล้ว แต่ก็ไม่สนใจหรือไม่บอกตอนที่เขาอึใส่ผ้าอ้อม ฉันไม่แน่ใจว่าฉันควรจะเริ่มกระตุ้นเขาหรือควรจะรออีกสักพัก ฉันจะได้ไม่กดดันเขาและทำให้เขาประหม่า...”

“บางที เหตุการณ์สะเทือนใจบางอย่างอาจทำให้ธรรมชาติที่จะฝึกเข้าห้องน้ำช้าลง โชโยมีปฏิกิริยายังไงตอนที่เสียแม่เขาไป?”โบคุโตะถาม เหมือนจะรู้ว่าเขาพูดถึงอะไร โออิคาวะตัดสินใจที่จะเชื่อในคิ้วที่โค้งสวยของเขา

“เขายังไม่เข้าใจ เขาคอยถามเสมอว่าเธออยู่ไหน แต่ไม่ว่าฉันจะบอกเขาแค่ไหน เขาก็เพิกเฉยมัน บางทีก็เขาก็ร้องไห้หาเธอตอนกลางคืน หรือตื่นขึ้นมาแล้วถามหาเธอ แต่นอกเหนือจากนั้นเขาก็ดูไม่อะไร”

“เหมือนกับเคย์เลย”คุโร่ถอนหายใจ “มันอาจจะเป็นกลไกชดเชยในความคิดฉัน บางทีพวกเขาอาจจะปฏิเสธมันอยู่ หรือไม่ยอมรับที่จะเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลที่พวกเราอธิบายให้เขากับข้อมูลที่เขาคิดได้ด้วยตัวเอง”

“ฉันก็คิดแบบนั้น แต่เอาเข้าจริง ฉันจะคุยกับลูกชายอายุสองขวบเกี่ยวกับบางอย่างอย่างการปฏิเสธยังไง?”โออิคาวะกลอกตา “เหมือน ‘นี่ โชโย! ลูกเข้าใจบ้างมั้ยว่าแม่ไม่กลับมาแล้ว? ร้องไห้แล้วเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตโดยไม่มีเธอซะ แต่อย่าถามหาเธอเพราะเธอไปดีแล้ว’ มันคงจะออกมาดีมาก”เขาอาจจะพูดประโยคนั้นออกมาด้วยความขมขื่นมากไปหน่อย และคนอื่นๆ อาจจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกถึงความขมขื่นของเขา ดูจากสายตาของพวกเขาที่มองมาแล้ว

“บางลองผลักดันเขาดูสักหน่อย”ไดจิเสนอความคิด “เหมือน... ทำให้เขารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เขาควรจะคิดถึง เหมือน ถามเขาว่าเขารู้สึกว่าผ้าอ้อมเขาเปื้อนรึเปล่า หรือเขาอยากจะไปฉี่หรืออึรึเปล่า ถ้าเขาเข้าใจว่ามันเป็นสิ่งที่ควรคิด เขาอาจจะเริ่มฝึกเข้าห้องน้ำเองก็ได้”

“ฟังดูเป็นไอเดียที่ดี”โออิคาวะพยักหน้า “ขอบคุณ ฉันจะลองทำดู”

“แต่ส่วนมากเด็กจะเรียนรู้จากการกระทำของผู้ใหญ่ล่ะนะ”โบคุโตะเริ่ม และจากรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา คำถัดไปที่เขาจะพูดก็รู้สึกเหมือนมันไม่น่าจะสร้างสรรค์เหมือนคำแนะนำก่อนหน้านี้ของเขา “บางทีนายควรจะใส่ผ้าอ้อมเดินไปเดินมาด้วย เพื่อเป็นตัวอย่าง”

อีกสี่คนที่เหลือหัวเราะเสียงดังในขณะที่โออิคาวะบ่น แค่นึกภาพเขาใส่ผ้าอ้อมก็ทำให้เขาให้เขารู้สึกเสื่อมเสียแล้ว แต่ขณะที่เขาบ่นไปและรู้สึกว่าแก้มของเขาร้อนด้วยความเขินอายแล้ว เขาก็รู้สึกว่าสีแดงระเรื่อบนใบหน้าของเขาคงจะเป็นสีที่เข้มที่สุดเท่าที่เขามีบนใบหน้าในช่วงเวลายาวนานที่ผ่านมา

บางทีการมาอยู่ที่นี่มันก็ไม่ได้แย่นัก เขาเริ่มคิด บางทีจะฝ่าฟันอุปสรรคไม่ว่าจะอะไรก็ตาม เคียงข้างคนเหล่านี้มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เขาชักจะเริ่มเชื่อแบบนั้นแล้วสิ

++++++++++++++++

*สำหรับคนที่ไม่เข้าใจตรง ‘อดัมกับอีฟ ไม่ใช่อดัมกับสตีฟ’ ตรงนี้มันหมายถึงว่าผู้ชายคู่กับผู้หญิงไม่ใช่ชายชาย ครับ อ้างอิงมาจากหนังสือไบเบิ้ลถึงมนุษย์คู่แรกของโลกที่เป็นชายหญิงเพื่อสืบพันธุ์มนุษย์

**ไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์ คือช่วงที่อายุครรภ์ราวๆ เจ็ดเดือน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา